ผมค่อนข้างจะสับสนกับความเป็นนักกฎหมายเข้าไปทุกวันว่ามันควรจะเป็นอย่างไร มีคนบอกว่าการเป็นนักกฎหมายคืองานที่ต้องอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งตลอดเวลา ซี่งผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน นับวันความสับสนก็มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะสิ่งที่ผมค้นพบและเจอนั้นบางทีก็ให้เกิดความรู้สึกแปลกๆ กับมัน ทำไมการเป็นนักกฎหมายที่อยู่แต่ละฝ่ายนั้นต้องแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หากผมเป็นนักกฎหมายเอกชน ผมก็ต้องรักษาผลประโยชน์ของลูกความผมให้ดีที่สุด คำนึงถึงประโยชน์ของลูกความให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ หากผมเป็นนักกฎหมายของราชการ ก็ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของราชการเป็นสำคัญ ซึ่งมันอาจจะก่อความเดือดร้อนให้กับคนอื่นก็ได้ หากผมเป็นนักกฎหมายให้ภาคประชาสังคมก็ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนให้มากที่สุด แม้ว่ารัฐอาจจะเสียหายก็ตาม หากผมเป็นนักกฎหมายผู้ตัดสินของกระบวนการยุติธรรมนี้ ก็ต้องคำนึงถึงตัวอักษรที่มีผลใช้บังคับให้มากที่สุด ผมไม่แน่ใจว่าการเป็นนักกฎหมายมันจำเป็นต้องรักษาผลประโยชน์เรื่องราวของคนที่เราเข้าไปเกี่ยวข้องแค่ไหน ต้องเสมือนเป็นคนเดือดร้อนเองเลยหรือเปล่า ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนนักกฎหมายกำลังเป็นเช่นนั้น
หากจะบอกว่ากฎหมายมีไว้เพื่อผยุงความยุติธรรม และสร้างความสงบให้กับสังคม หากนักกฎหมายเป็นไปอย่างที่ผมได้กล่าวมา มันจะเกิดความยุติธรรมและความสงบได้จริงหรือไม่ ต่างคนต่างรักษาผลประโยชน์ที่ตนควรได้ หรือไม่ควรจะเสียไป ความต้องการ อคติ กิเลส ตัณหา ของมุษย์เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการเคลื่อนไหวของสังคมที่มีอยู่ แม้คุณไม่มีกิเลสตัณหา คุณก็อาจมีอคติ (อคติต่อกิเลส ตัณหา) เมื่อสภาพของสังคมเป็นเช่นนี้แล้ว การผสานประโยชน์ท่ามกลางความแตกต่างทางความคิด ความเชื่อ ที่ก่อให้เกิดวิถีชีวิตของแต่ละคน และสังคมจึงเป็นสิ่งสำคัญ หากนักกฎหมายผู้รู้กฎกติกาของสังคมที่วางไว้เพื่อให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้ท่ามกลางความแตกต่างนั้น ทำหน้าที่ไม่ต่างจากคนอื่นๆ ในสังคมที่มุ่งรักษาแต่ประโยชน์ของสิ่ง หรือฝ่ายที่ตนอยู่ด้วย ความยุติธรรม และความสงบสุขในการอยู่ร่วมกันมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
ผมมองว่านักกฎหมายมีภาระกิจในการสร้างสมดุลดังกล่าว ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะมีกฎหมายไว้ทำไม มีคนรู้กฎหมายไว้เพื่ออะไร ความยุติธรรม ไม่ได้แปลว่าต้องได้ในสิ่งที่อยากได้ แต่มันคือควรได้ในสิ่งที่ควรได้ และแม้ว่าหากไม่ได้ในสิ่งนั้นก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าไม่ยุติธรรม เพราะมันอาจมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่อยู่เหนือกว่าก็ได้ แต่ดูเหมือนว่าความยุติธรรมในตอนนี้จะเป็นในความหมายแรก ฉะนั้นผมจึงคิดว่านักกฎหมายไม่ใช่คนที่จะรับใช้ฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง แต่นักกฎหมายทุกคนต้องทำงานรับใช้สิ่งเดียวกันคือ ความถูกต้อง เป็นธรรม ของทุกฝ่าย เป็นเครือข่ายนักกฎหมายที่จะช่วยกันแสวงหาความจริง สร้างความสมดุลบนความถูกต้อง และความแตกต่างให้เกิดขึ้นในสังคม ไม่เช่นนั้นแล้วนักกฎหมายก็คงจะเป็นเพียงเครื่องมือเพื่อสนองตอบต่อความต้องการคนอื่นเพียงเท่านั้น ผมฝันไว้ว่าสักวันหนึ่งเราคงจะเห็นนักกฎหมายที่เอาใจเขามาใส่ใจเรามากขึ้น มากกว่าที่จะเอาใจเรามาใส่ใจเรา และเอาใจเราไปใส่ใจเขา เพียงอย่างเดียว
วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)